วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2562

กิลกาเมซ ราชาผู้หยิ่งผยองแห่งมหากาพย์แม่น้ำไทกริสยูเฟรติส


     ในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นมนุษย์มีการบันทึกหลายๆสิ่งหลายๆอย่างลงในประวัติศาสตร์ จารึกสิ่งที่เขาต้องการสื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่ได้จารึกให้คนรุ่นหลังได้รับรู้คือ มหากาพย์ที่เก่าแก่ที่สุดของมวลมนุษย์ชาติ มหากาพย์กิลกาเมซ



     เนื้อหาทั้งหมดนี้นั้นผมอ้างอิงประวัติศาสตร์ตามความเข้าใจของผมเอง โดยไม่มีความเกี่ยงข้องกับตัวละครในเกม
     มหากาพย์นี้กล่าวถึงนครอุรุค(บริเวณแม่น้ำยูเฟรทีส ประเทศอิรักในปัจจุบัน)คาดว่ากิลกาเมชอาจจะเป็นผู้ปกครองที่มีตัวตนจริงในอดีตระหว่างราชวงศ์ที่ 2 ของยุคต้นของสุเมเรีย (ประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีการพูดถึงวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของหนึ่ง ราชันย์ที่เหนือกว่าราชันย์ทั้งปวง กิลกาเมซ ผู้มีสายเลือดของเทพเจ้า อันนี้มักจะเป็นปกติของมนุษย์ที่มักจะยกให้กษัตริย์ของพวกเขามีศักดิ์เป็นเทพหรือไม่ก็มีเชื้อสายของเทพเจ้า ซึ่งเป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะแถบเอเซีย กิลกาเมซมีบิดาเป็นมนุษย์ส่วนมารดานั้นเป็นเทพ ซึ่งบางที่ก็อ้างไว้ว่าบิดาของกิลกาเมซเป็นครึ่งเทพ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่ากิลกาเมซมีสายเลือดเทพอยู่ในกายถึง 2/3 ส่วน กิลกาเมซนั้นเป็นราชาผู้ทรงพลัง เปี่ยมด้วยปัญญา และมัวเมาเรื่องกามรมณ์เป็นอย่างมาก พระองค์ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการหาสาวงามมาสนองตัณหาของตัวเอง โดยไม่ละเว้นว่า หญิงสาวผู้นั้นจะเป็นสาวโสดหรือมีคู่ครองแล้ว

     ด้วยเหตุนี้บรรดาปวงชนผู้ทุกข์ร้อนจึงพากันไปอ้อนวอนต่อเทพเจ้าให้จัดการกับกิลกาเมช เหล่าเทพจึงมีมติให้กำราบมนุษย์ครึ่งเทพนี้ซะ โดยการให้เทพีอารารูปั้นดินเหนียวเป็นรูปบุรุษผู้หนึ่งโดยให้นามว่า เอ็นคิดู โดยเทพเจ้าได้นำความป่าเถื่อนของสัตว์ป่าทุกชนิดใส่ลงไปในตัวของเอนคิดูเพื่อให้เขาทรงพลังพอที่จะจัดการกับกิลกาเมชได้
     แต่เรื่องก็ไม่เป็นดังที่ทวยเทพหวังสักเท่าใดนัก เพราะเนื่องจากเทพเจ้ายังหวังให้เอนคิดูมีความดิบเถื่อนมากกว่าตอนสร้างขึ้น จึงส่งเอนคิดูมาอยู่กับบรรดาสัตว์ป่าในป่านอกเมืองอูรุก ซึ่งเอ็นคิดูได้ใช้พลังของตนปกป้องสัตว์เหล่านั้นจากสัตว์นักล่าและนายพราน แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดเอาชนะเอนคิดูได้ ดังนั้นนายพรานจึงได้ร่วมกันวางอุบายให้เอนคิดูออกจากป่า โดยพากันไปว่าจ้าง แซมฮัต ยอดหญิงนครโสเภณีประจำเทวาลัยแห่งอูรุกให้ไปล่อลวงเอ็นคิดูออกมา เมื่อเอ็นคิดูหลงในบ่วงสวาทของเธอ เธอจึงชักชวนเอ็นคิดูเข้าเมืองและนำเขาไปรู้จักการใช้ชีวิตแบบชาวเมืองทำให้เอนคิดูไม่กลายเป็นดังเช่นที่เหล่าทวยเทพหวัง
     กิลกาเมซเองก็ไม่มีวีแววว่าจะเลิกทำในสิ่งที่ไม่สมควร เมื่อได้ยินข่าวว่ามีคนจะแต่งงานเจ้าตัวก็ดิ่งไปที่งานเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการนอนกับเจ้าสาวในคืนแรกตามเคย เรื่องนี้ได้ยินไปถึงหูของเอนคิดูเช่นกัน เขาไม่พอใจในการกระทำของกิลกาเมซเป็นอย่างมากจึงรีบตรงดิ่งไปที่งานและเข้าขัดขวางกิลกาเมชไม่ให้กระทำการอันน่าบัดสี ทั้งสองได้ต่อสู้กันแต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีใครเอาชนะได้เสียที หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้กิลกาเมชประทับใจเอ็นคิดู และได้ชวนมาเป็นสหายของตน หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นสหายที่สนิทสนมกันมากที่สุด มิตรภาพทำให้กิลกาเมชเปลี่ยนไป กษัตริย์หนุ่มทรงเลิกพฤติกรรมร้ายกาจที่เคยทำจนหมดสิ้นและด้วยคำแนะนำของเอ็นคิดู พระองค์ได้หันมาใส่พระทัยกับการดูแลบ้านเมือง จนนครอูรุกเจริญรุ่งเรืองและประชาชนต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญในคุณงามความดีของราชากิลกาเมช
     ประชาชนทั่วทั้งนครพากันมีความสุขภายใต้การปกครองของราชากิลกาเมซ แต่กิลกาเมชกลับเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่สงบสุขนี้ พระองค์ปรารถนาที่จะแสวงหาความตื่นเต้นในชีวิต พลันนึกถึงเรื่อง อสูรฮูวาวากับป่าซีดาร์ขึ้นมา จึงได้ตรัสชวนเอ็นคิดูเดินทางไปยังป่าซีดาร์แห่งทิศตะวันตกเพื่อเผชิญหน้ากับอสูรฮูวาวาและสร้างเกียรติภูมิที่ไม่มีผู้ใดเคยทำมาก่อน ทั้งสองออกเดินจากนครอูรุกโดยปราศจากผู้ติดตามและหลังจากเดินทางเป็นเวลานับเดือนก็มาถึงเขตป่าซีดาร์ยักษ์ของอสูรฮูวาวา หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันโค่นต้นซีดาร์ลงเพื่อท้าทายจอมอสูรให้ปรากฏตัว เมื่อสังหารจอมอสูรลงได้แล้ว กิลกาเมชกับเอ็นคิดูก็ช่วยกันโค่นป่าซีดาร์จนราบเรียบ ชัยชนะในครั้งนี้ส่งผลให้ชื่อเสียงของทั้งคู่เลื่องลือระบือไกล จนแม้ทวยเทพบนสรวงสวรรค์ก็ยังรับรู้
     เทพีอิชทาร์ทรงได้ยินเรื่องราวความกล้าหาญของราชากิลกาเมชพระนางจึงเสด็จลงมาเพื่อทอดพระเนตรราชาหนุ่มและเมื่อได้เห็นแล้วองค์เทพีก็บังเกิดความเสน่หาในตัวกิลกาเมช เทพีอิชทาร์ได้ขอแต่งงานกับกิลกาเมชทว่ากิลกาเมชนั้นกลับปฏิเสธไม่ใยดี เขาได้อ้างถึงสามีคนก่อนของเทพีอิชทาร์ที่พากันพบกับความวิบัติเมื่อนางสิ้นความเสน่ห์หาและกิลกาเมซก็ยังบอกไปอีกว่าหากเขาได้แต่งงานกับนางสักวันเขาก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างกับคู่ครองคนอื่นของเทพีอิชทาร์ การปฎิเสธของกิลกาเมซนำความโกรธและอับอายมาแด่เทพีอิชทาร์ด้วยความเดือดดาลนางจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าเทพอนูผู้เป็นพระบิดาของพระนางเพื่อขอให้เทพอนูลงโทษราชามนุษย์ผู้โอหังคนนี้ เมื่อได้ยินถึงความโอหังของราชากิลกาเมซเทพอนูจึงได้ส่งวัวสวรรค์ลงมาเพื่อสังหารกิลกาเมชและทำลายนครอูรุกให้สิ้นซาก วัวยักษ์ได้ทำลายนครอุรุกจนเสียหายยับเยิน ทว่ากิลกาเมซกับเอนคิดูสหายรักกลับยืนหยัดสู้กันเพียงสองคนโดยมิได้เกรงกลัวสัตว์เทวะที่ถูกส่งมา ทั้งคู่ได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันจนสังหารวัวสวรรค์จนสิ้นฤทธิ์จากนั้นก็ได้ชำแหละมันเป็นชิ้นแจกจ่ายไปทั่วเมืองเพื่อฉลองความสำเร็จ นั่นยิ่งทำให้เหล่าเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เกิดโทสะเข้าไปอีก เมื่อเทพเจ้าทั้งหมดได้ตัดสินแล้วว่าเอนคิดูนั้นมีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดพวกเขาจึงให้บทเรียนที่ราคาแพงแก่ราชากิลกาเมช โดยบทเรียนนี้ก็คือความตายของสหายรักของกิลกาเมซ
     ความตายของสหายรักทำให้กิลกาเมชเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าบทเรียนจากเหล่าทวยเทพนี้ทำให้กิลกาเมซตระหนักได้ถึงความตาย ทรงกลัวว่าตัวเองจะตายเช่นเดียวกับสหายรัก เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงได้ตัดสินใจออกเดินทางไปยังต้นน้ำแห่งแม่น้ำทั้งมวลของโลก เพื่อค้นหา อุชนาปิชติม มนุษย์ผู้รอดตายจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกและได้รับพรจากเทพเจ้าให้เป็นอมตะ
     กิลกาเมซผ่านทุกอุปสรรค์ไปได้อย่างไม่ยากเย็น และเมื่อเขาได้พบกับอุชนาปิชติม เขาก็เล่าถึงสาเหตุที่เขาดั้นด้นมากหาอุชนาปิชติมให้ฟัง เมื่อเล่าจบอุตนาปติมก็ให้กิลกาเมชได้มีโอกาสเป็นอมตะบ้าง โดยยื่นข้อเสนอไว้ว่า "หากกิลกาเมชสามารถทนตื่นได้ 6 วัน 7 คืน โดยไม่หลับได้ เขาก็จักได้รับความเป็นอมตะ" แน่นอนว่ากิลกาเมชรับเงื่อนไขทั้งหมดนี้ และนั่งลงริมฝั่งน้ำ ทันทีที่เขานั่งลง เขาก็ผลอยหลับไป อุตนาปิชติมจึงบอกภรรยาว่า "ผู้ชายทุกคนเป็นคนหลอกลวง" ซึ่งกิลกาเมชจะปฏิเสธว่าตนไม่ได้หลับ อุตนาปิชติมจึงขอให้ภรรยาปิ้งขนมปังทุกวัน และวางไว้ที่เท้าของกิลกาเม
     กิลกาเมชหลับโดยไม่ตื่นเลยเป็นเวลา 6 วัน 7 คืน แล้วอุตนาปิชตัมก็ปลุกให้เขาตื่น เมื่อสะดุ้งตื่น กิลกาเมชก็พูดว่า “ข้าเพียงแต่งีบไปชั่วเสี้ยววินาที ณ ที่นี้เอง” อุตนาปิชติมจึงชี้ไปที่ขนมปังเหล่านั้น บอกให้ทราบถึงสภาพการเสื่อมสลายจากขนมปังใหม่สุด จนถึงที่เก่าที่สุด และมีราขึ้น ซึ่งวางอยู่แทบเท้านับแต่วันแรก กิลกาเมชจึงกลัดกลุ้มใจยิ่งนัก ทว่าภรรยาของอุตนาปิชติมขอร้องให้สามีได้เมตตากิลกาเมช อุตนาปิชติมจึงบอกสถานที่แห่งความอมตะแก่กิลกาเมช ซึ่งมีต้นไม้ลี้ลับต้นหนึ่ง ซึ่งจะทำให้กิลกาเมชเป็นหนุ่มขึ้นอีกครั้ง ต้นไม้นี้อยู่ที่ก้นทะเล รอบแผ่นดินแสนไกล กิลกาเมลมัดก้อนหินไว้กับเท้า แล้วจมลงไปที่ก้นทะเล แล้วถอนต้นไม้วิเศษ แต่ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน เพราะไม่วางใจ แต่คิดจะนำกลับไปอุรุค และทดสอบกับชายชราก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าได้ผลจริง เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงเดินทางกลับ โดยการเดินทางขากลับเขาได้นอนหลับ และนั่นทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีกครั้ง
     ขณะที่เขาหลับไหลอยู่นั้นมีงูตัวหนึ่งเลื้อยขึ้นมา กินต้นไม้วิเศษนั้น แล้วมันก็เลื้อยจากไป ด้วยเหตุนี้งูทั้งหลายจึงสามารถลอกคราบเพื่อกลับคืนสู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้อีกครั้ง เมื่อกิลกาเมชตื่นมาพบว่าต้นไม้วิเศษหายไปแล้ว จึงเสียใจทรุดตัวลงคุกเข่า ร่ำไห้
     แต่แม้ว่ากิลกาเมชจะผิดหวังกับความพยายามที่สุดท้ายก็สูญเปล่าของตน แต่ในที่สุด เขาก็ได้เข้าใจถึงสัจจะธรรมของชีวิตและยอมรับชะตาชีวิตโดยไม่คิดดิ้นรนที่จะเป็นอมตะอีกต่อไป เขาได้คิดถึงสิ่งที่จะทำให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ กิลกาเมชจึงได้สั่งให้ขุนนางจารึกเรื่องราวการเดินทางของพระองค์ไว้ที่ฐานของประตูเมืองและหลังจากนั้นกลายเป็นตำนานที่เล่าขานมายาวนานนับพันปี
     แม้ว่ามหานครอุรุกจะไม่มีแล้ว บาบิโลเนียที่ยิ่งใหญ่จะล้มสลายไปแล้ว แต่ตำนานของวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ชาติ ราชาผู้อยู่เหนือราชาทั้งปวงก็ได้ข้ามผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบันในรูปแบบของจารึกที่เขียนลงแผ่นจารึกที่ทำจากดินเหนียว 12 ชิ้น ให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงตัวตนราชาผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้สืบต่อไป

     เรื่องราวของกิลกาเมซตามบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ก็จบลงเพียงเท่านี้

เรียบเรียงด้วยตัวเอง SALT ADMIN ถูกหรือผิดนั้นขออภัยไว้ล่วงหน้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น